Archive | มิถุนายน 2013

คำอาราธนาพระปริตต (เพื่ออาราธนาพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์)

วิปัตติ  ปะฏิ  พาหายะ,

เพื่อป้องกันความวิบัติ,

 

สัพพะสัมปัตติสิทธิยา,

เพื่อความสำเร็จแห่งสมบัติทั้งปวง

 

สัพพะ  ทุกขะ  วินาสายะ,

เพื่อความพินาศแห่งทุกข์ทั้งปวง,

 

ปะริตตัง  พรูถะ  มังคะลัง,

ขอท่านทั้งหลาย  จงสวดปริตตอันเป็นมงคลเถิด,

 

 

วิปัตติ  ปะฏิ  พาหายะ,

เพื่อป้องกันความวิบัติ,

 

สัพพะสัมปัตติสิทธิยา,

เพื่อความสำเร็จแห่งสมบัติทั้งปวง,

 

สัพพะ  ภะยะ  วินาสายะ,

เพื่อความพินาศแห่งภัยทั้งปวง,

 

ปะริตตัง  พรูถะ  มังคะลัง,

ขอท่านทั้งหลายจงสวดปริตต  อันเป็นมงคลเถิด,

 

 

วิปัตติ  ปะฏิ  พาหายะ,

เพื่อป้องกันความวิบัติ,

 

สัพพะสัมปัตติสิทธิยา,

เพื่อความสำเร็จแห่งสมบัติทั้งปวง,

 

สัพพะ  โรคะ  วินาสายะ,

เพื่อความพินาศแห่งโรคทั้งปวง,

 

ปะริตตัง  พรูถะ  มังคะลัง.

ขอท่านทั้งหลาย  จงสวดปริตต  อันเป็นมงคลเถิด.

 

————————————————

คัดลอกจาก…..หนังสือธรรมานุสรณ์

ทำวัตร สวดมนต์ ธรรมภาวนา

วัดถ้ำแฝด  ต.เขาน้อย  อ.ท่าม่วง  จ.กาญจนบุรี

 

อุปกิเลส ๑๖

๑.    อิภิชฌาวิสะมะโลโภ,

       ความโลภเพ่งเล็งอยากได้ของเขา

 

๒.   โทโส,

       ความประทุษร้ายเขา,

 

๓.   โกโธ,

       ความโกรธเคืองเขา,

 

๔.   อุปะนาโห,

       ความผูกเวรหมายมั่นกัน,

 

๕.   มักโข,

       ความลบหลู่ดูถูกเขา,

 

๖.   ปะลาโส,

       ความยกตัวขึ้นเทียมเขา,

 

๗.   อิสสา,

       ความริษยาเขา,

 

๘.   มัจฉะริยัง,

       ความตระหนี่เหนียวแน่นเกียจกัน  หวงข้าว หวงของ

       และวิชาความรู้  ที่อยู่อาศัย,

 

๙.    มายา,

        ความเป็นคนเจ้าเล่ห์เจ้ากล,

 

๑๐.  สาเถยยัง,

        ความโอ้อวดตัวให้ยิ่งกว่าคุณที่มีอยู่,

 

๑๑.  ถัมโภ,

        ความแข็งกระด้าง ดื้อ ดึง เมื่อเขาสั่งสอนว่ากล่าวโดยธรรมโดยชอบ

 

๑๒.  สารัมโภ,

        ความปรารภไม่ยอมตาม  หาเหตุผลมาอ้าง ทุุ่มเถียงต่าง ๆ

        เมื่อขณะเขาว่ากล่าวโดยธรรม

 

๑๓.  มาโน,

        ความเย่อหยิ่ง ถือเรา ถือเขา ถือตัว ถือตน,

 

๑๔.  อะติมาโน,

         ความดูถูกล่วงเกินผู้อื่น,

 

๑๕.  มะโห,

        ความเมาหลงในร่างกายที่ทรุดโทรม  ด้วยความชรามีอยู่ทุกวัน ๆ

        มาสำคัญว่ายังหนุ่มยังสาวอยู่  ประมาทไป และเมาหลงในร่างกาย

        ที่ป่วยไข้อยู่เป็นนิจ  ต้องกินยา คือข้าวน้ำทุกเช้าค่ำ  มาสำคัญว่า

        ไม่มีโรค  เป็นสุขสบาย ประมาทไป และเมาหลงในชีวิตที่เป็นของ

        ไม่เที่ยง พลันดับไปดังประทีปจุดไว้ในที่แจ้งฉะนั้น  มาสำคัญว่ายัง

        ไม่ตาย  ประมาทไป,

 

๑๖.  ปะมาโท.

        ความเมามันทั่วไปอารมณ์อันใดที่น่ารัก  ก็ไปหลงรักอารมณ์นั้น

        อารมณ์อันใดที่น่าชัง  ก็ไปหลงชิงชัง  โกรธต่ออารมณ์เหล่านั้น.

 

บรรจบเป็นอุปกิเลสเครื่องเศร้าหมองใจ ๑๖ ข้อ  จิตเศร้าหมองด้วยอุปกิเลส  ข้อใดข้อหนึ่ง ดังว่ามานี้แล้ว   จิตนั้นล้วนเป็นบาปอกุศลหมดทั้งสิ้น.

 

 

คัดลอกจาก…..หนังสือธรรมานุสรณ์

                        ทำวัตร สวดมนต์ ธรรมภาวนา

                        วัดถ้ำแฝด ต.เขาน้อย อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี

 

ติลักขณาทิคาถา

นำ  (หันทะ มะยัง ติลักขะณาทิคาถาโย ภะณามะ เส.)

 

สัพเพ  สังขารา  อะนิจจาติ

เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่าสังขารทั้งปวง

 

ยะทา  ปัญญายะ  ปัสสะติ,

ไม่เที่ยง,

 

อะถะ  นิพพินทะติ  ทุกเข

เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่าย ในสิ่งที่เป็นทุกข์

 

เอสะ  มัคโค  วิสุทธิยา,

ที่ตนหลง  นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพาน

อันเป็นธรรมหมดจด,

 

สัพเพ  สังขารา  ทุกชาติ

เมื่อใด  บุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า  สังขาร

 

ยะทา  ปัญญายะ  ปัสสะติ,

ทั้งปวงเป็นทุกข์,

 

อะถะ  นิพพินทะติ  ทุกเข

เมื่อนั้น  ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งเป็นทุกข์

 

เอสะ  มัคโค  วิสุทธิยา,

ที่ตนหลง  นั่นแหละ  เป็นทางแห่งนิพพาน

อันเป็นธรรมหมดจด,

 

สัพเพ  ธัมมา  อะนัตตาติ

เมื่อใด  บุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า  ธรรมทั้งปวง

 

ยะทา  ปัญญายะ  ปัสสะติ,

เป็นอนัตตา,

 

ยะถะ  นิพพินทะติ  ทุกเข

เมื่อนั้น  ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์

 

เอสะ  มัคโค  วิสุทธิยา,

ที่ตนหลง  นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพาน

อันเป็นธรรมหมดจด

 

อัปปะกา  เต  มะนุสเสสุ

ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย  ผู้ที่ถึงฝั่งแห่งพระ

 

เย  ชะนา  ปาระคามิโน,

นิพพานมีน้อยนัก,

 

อะถายัง  อิตะรา  ปะชา

หมู่มนุษย์นอกนั้น  ย่อมวิ่งเลาะอยู่ตามฝั่งใน

 

ตีระเมวานุธาวะติ,

นี่เอง,

 

เย  จะ  โข  สัมมะทักขาเต

ก็ชนเหล่าใดประพฤติสมควรแก่ธรรม  ใน

 

ธัมเม  ธัมมานุวัตติโน,

ธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว,

 

เต  ชะนา  ปาระเมสสันติ

ชนเหล่านั้นจักถึงฝั่งแห่งพระนิพพาน

 

มัจจุเธยยัง  สุทุตตะรัง,

ข้ามพ้นบ่วงแห่งมัจจุราชที่ข้ามได้ยากนัก

 

กัณหัง  ธัมมัง  วิปปะหายะ,

จงเป็นบัณฑิตละธรรมดำเสีย  แล้วเจริญ

 

สุกกัง  ภาเวถะ  ปัณฑิโต,

ธรรมขาว,

 

โอกา  อะโนกะมาคัมมะ

จงมาถึงที่ไม่มีน้ำ  จากที่มีน้ำ  จงละกามเสีย

 

วิเวกเก  ยัตถะ  ทูระมัง,

เป็นผู้ไม่มีความกังวล,

 

ตัตราภิระติมิจเฉยยะ

จงยินดีเฉพาะต่อพระนิพพานอันเป็นที่สงัด

 

หิตวา  กาเม  อะกิญจะโน,

ซึ่งสัตว์ยินดีได้โดยยาก,

 

ปะริโยทะเปยยะ  อัตตานัง

บัณฑิตควรยังตนให้ผ่องแผ้วจากเครื่องเศร้า-

 

จิตตะเกละเสหิ  ปัณฑิโต,

หมองแห่งจิตทั้งหลาย,

 

เยสัง  สัมโพธิ  ยังเคสุ

จิตอันบัณฑิตทั้งหลายเหล่าใดอบรมดีแล้ว

 

สัมมา  จิตตัง  สุภาวิตัง,

โดยถูกต้อง  ในองค์เป็นเหตุตรัสรู้ทั้งหลาย,

 

อาทานะปฏินิสสัคเค

บัณฑิตทั้งหลายเหล่าใดไม่ถือมั่น  ยินดีแล้ว

 

อะนุปาทายะ  เย  ระตา,

ในอันสละความยึดถือ,

 

ขีณาสะวา  ชุติมันโต

บัณฑิตทั้งหลายเหล่านั้น  ย่อมเป็นผู้ไม่มี

 

เต  โลเก  ปะรินิพพุตาติ.

อาสวะ  มีความโพลงดับสนิทในโลก  ดังนี้แล.

 

 

                                                       

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คัดลอกจาก…..หนังสือธรรมานุสรณ์
ทำวัตร สวดมนต์ ธรรมภาวนา
วัดถ้ำแฝด ต.เขาน้อย อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี

ภัทเทกรัตตคาถา

นำ (หันทะ มะยัง ภัทเทกะรัตตะคาถาโย ภะณามะเส)

 

อะตีตัง  นานวาคะเมยยะ,

ผู้มีปัญญา  ไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้วด้วยอาลัย

 

นัปปะฏิกังเข  อะนาคะตัง,

ไม่พึงพะวงถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง,

 

ยะทะตีตัมปะหีนันตัง,

สิ่งใดที่เป็นอดีตก็ละไปแล้ว,

 

อัปปัตตัญจะ  อะนาคะตัง,

สิ่งที่เป็นอนาคตก็ยังไม่มาถึง,

 

ปัจจุปันนัญจะ  โย  ธัมมัง,

บุคคลใด  เห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้า

 

ตัตถะ  ตัตถะ  วิปัสสะติ,

ในที่นั้น ๆ  อย่างแจ่มแจ้ง,

 

อะสังหิรัง  อะสังกุปปัง,

ไม่ง่อนแง่น  ไม่คลอนแคลน,

 

ตัง  วิทธา  มะนุพรูหะเย,

บุคคนั้น  ได้รู้ความนั้นแล้ว  ควรเจริญไว้เนือง ๆ ,

 

อัชเชวะ  กิจจะมาตัปปัง,

ความเพียรเผากิเลสเป็นกิจที่ต้องทำในวันนี้,

 

โก  ชัญญา  มะระณัง  สุเว,

ใครเล่าจะพึงรู้ว่า ความตายจะมีในวันพรุ่งนี้,

 

นะ  หิโน  สังคะรันเตนะ

เพราะการผัดผ่อนต่อพญามัจจุราชซึ่งมีเสนา

 

มะหาเสเนนะ  มัจจุนา,

มาก  ย่อมไม่มีสำหรับเรา,

 

เอวัง  วิหาริมาตาปิง

มุนีผู้สงบระงับ  ย่อมกล่าวเรียกบุคคลผู้มี

 

อะโหรัตตะมะตันทิตัง

ธรรมเป็นเครื่องอยู่  ผู้มีความเพียรอันเผา-

 

ตัง  เว  ภัทเทกะรัตโตติ

กิเลส  ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน

 

สันโต  อาจิกขะเต  มุนีติ.

ว่าเป็นผู้เจริญ  แม้เพียงราตรีเดียวก็น่าชม ดังนี้.

คัดลอกจาก…..หนังสือธรรมานุสรณ์
ทำวัตร สวดมนต์ ธรรมภาวนา
วัดถ้ำแฝด ต.เขาน้อย อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี

เขมาเขมสรณทีปิกคาถา

นำ  (หันทะ  มะยัง  เขมาเขมะสะระณะทีปิกะคาถาโย  ภะณามะ  เส)


พะหุง  เว  สะระณัง  ยันติ  ปัพพะ-

มนุษย์ทั้งหลายส่วนมากเมื่อเกิดมีภัยคุกคาม

 

ตานิ  วะนานิ  จะ  อารามะรุกขะเจต-

แล้ว ก็ถือเอาภูเขาบ้าง  ป่าไม้บ้าง  อารามบ้าง

 

ยานิ  มะนุสสา  ภะยะตัชชิตา,

และรุกขเจดีย์บ้าง เป็นสรณะ,

 

เนตัง  โข  สะระณัง  เขมัง  เนตัง

นั่นมิใช่สรณะอันเกษมเลย  นั่นมิใช่สรณะ

 

สะระณะมุตตะมัง  เนตัง  สะระณะ-

อันสูงสุด  เขาอาศัยสรณะนั่นแล้ว  ย่อมไม่พ้น

 

มาคัมมะ สัพพะทุกขา  ปะมุจจะติ,

จากทุกข์ทั้งปวง,

 

โย  จะ  พุทธัญจะ  ธัมมัญจะ

ส่วนผู้ใดถือเอาพระพุทธเจ้า  พระธรรมเจ้า

 

สังหัญจะ  สะระณัง  คะโต  จัตตาริ

พระสงฆเจ้า  ว่าเป็นสรณะแล้ว  เห็นอริยสัจจ์

 

อะริยะสัจจานิ  สัมมัปปัญญายะ

คือความจริงอันประเสริฐทั้งสี่  ด้วยปัญญา

 

ปัสสะติ,

อันชอบ,

 

ทุกขัง  ทุกขะสะมุปปาทัง  ทุกขัสสะ

คือเห็นความทุกข์  เหตุให้เกิดทุกข์  ความ

 

จะ  อะติกกะมัง,

ก้าวล่วงทุกข์เสียได้,

 

อะริยัญจัฎฐังคิกัง  มัคคัง

แหละหนทางมีองค์แปด  อันประเสริฐเป็น-

 

ทุกขูปะสะมะคามินัง,

เครื่องถึงความระงับทุกข์,

 

เอตัง  โข  สะระณัง  เขมัง  เอตัง

นั่นแหละ เป็นสรณะอันเกษม  นั่นเป็นสรณะ

 

สะระณะมุตตะมัง  เอตัง  สะระณะ-

อันสูงสุด  เขาอาศัยสรณะ นั่นแล้ว  ย่อมพ้น

 

มาคัมมะ  สัพพะทุกขา  ปะมุจจะตีติ.

จากทุกข์ทั้งปวงได้  ดังนี้.

 

                                                                                                         ………………………………………..

 

 

 

 

 

 

 

คัดลอกจาก…..หนังสือธรรมานุสรณ์
ทำวัตร สวดมนต์ ธรรมภาวนา
วัดถ้ำแฝด ต.เขาน้อย อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี

ภารสุตตคาถา

นำ  (หันทะ  มะยัง  ภาระสุตตะคาถาโย  ภะณามะ  เส)


ภารา  หะเว  ปัญจักขันธา,

ขันธ์ทั้งห้า  เป็นของหนักเน้อ,

 

ภาระหาโร  จะ  ปุคคะโล,

บุคคลแหละ  เป็นผู้แบกของหนักพาไป,

 

ภาราทานัง  ทุกขัง  โลเก,

การแบกถือของหนัก  เป็นความทุกข์ในโลก,

 

ภาระนิกเขปะนัง  สุขัง,

การสลัดของหนัก ทิ้งลงเสีย เป็นความสุข,

 

นิกขิปิตวา  คะรุง  ภารัง,

พระอริยเจ้า  สลัดทิ้งของหนัก  ลงเสียแล้ว,

 

อัญญัง  ภารัง  อะนาทิยะ,

ทั้งไม่หยิบฉวยเอาของหนักอันอื่นขึ้นมาอีก,

 

สะมูลัง  ตัณหัง  อัพพุยหะ,

ก็เป็นผู้ถอนตัณหาขึ้นได้  กระทั่งราก

 

นิจฉาโต  ปะรินิพพุโตติ.

เป็นผู้หมดสิ่งปรารถนา ดับสนิท ไม่มีส่วนเหลือ.

 

 

บทพิจารณาสังขาร

(ทุกเวลาทำวัตรเช้าและเวลาเข้านอน)


สัพเพ  สังขารา  อะนิจจา,

สังขาร คือ ร่างกายจิตใจ  แลรูปธรรม นามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น

มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไป มีแล้วหายไป.

 

สัพเพ  สังขารา  ทุกขา,

สังขาร คือ ร่างกายจิตใจ แลรูปธรรม นามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น

มันเป็นทุกข  ทนยาก  เพราะเกิดขึ้นแล้ว แก่ เจ็บ ตายไป,

 

สัพเพ  ธัมมา  อะนัตตา,

สิ่งทั้งหลายทั้งปวง  ทั้งที่เป็นสังขาร และมิใช่สังขาร ทั้งหมดทั้งสิ้น

ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ควรถือว่าเรา ว่าของเรา ว่าตัวว่าตนของเรา,

 

อะธุวัง  ชีวิตัง,

ชีวิตเป็นของไม่ยั่งยืน,

 

ธุวัง  มะระณัง,

ความตายเป็นของยั่งยืน,

 

อะวัสสัง  มะยา  มะริตัพพัง,

อันเราจะพึงตายเป็นแท้,

 

มะระณะปะริโยสานัง  เม  ชีวิตัง,

ชีวิตของเรา มีความตายเป็นที่สุดรอบ,

 

ชีวิตัง  เม  อะนิยะตัง,

ชีวิตของเราเป็นของไม่เที่ยง

 

มะระณัง  เม  นิยะตัง,

ความตายของเราเป็นของเที่ยง,

 

วะตะ,

ควรที่จะสังเวช,

 

อะยัง  กาโย,

ร่างกายนี้,

 

อะจิรัง,

มิได้ตั้งอยู่นาน,

 

อะเปตะวิญญาโณ,

ครั้นปราศจากวิญญาณ,

 

ฉุฑโฑ,

อันเขาทิ้งเสียแล้ว,

 

อะธิเสสสะติ,

จักนอนทับ,

 

ปะฐะวิง,

ซึ่งแผ่นดิน,

 

กะลิงคะรัง  อิวะ,

ประดุจดังว่าท่อนไม้และท่อนฟืน,

 

นิรัตถัง.

หาประโยชน์มิได้.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คัดลอกจาก…..หนังสือธรรมานุสรณ์
ทำวัตร สวดมนต์ ธรรมภาวนา
วัดถ้ำแฝด ต.เขาน้อย อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี

โอวาทปาติโมกขคาถา

 นำ  (หันทะ  มะยัง  โอวาทะปาติโมกขะคาถาโย  ภะณามะ  เส)

 

สัพพะปาปัสสะ  อะกะระณัง,

การไม่ทำบาปทั้งปวง

 

กุสะลัสสูปะสัมปะทา,

การทำกุศลให้ถึงพร้อม,

 

สะจิตตะปะริ  โยทะปะนัง,

การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ,

 

เอตัง  พุทธานะสาสะนัง,

ธรรม ๓ อย่างนี้  เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย,

 

ขันตี  ปะระมัง  ตะโป  ตีติกขา,

ขันติ  คือความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง,

 

นิพพานัง  ปะระมัง  วะทันติ  พุทธา,

ผู้รู้ทั้งหลาย  กล่าวพระนิพพานว่าเป็นธรรมอันยิ่ง,

 

นะ  หิ  ปัพพะชิโต  ปะรูปะฆาตี,

ผู้กำจัดสัตว์อื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิตเลย,

 

สะมะโณ  โหติ  ปะรัง  วิเหฐะยันโต,

ผู้ทำลายสัตว์อื่นให้ลำบากอยู่  ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลย,

 

อะนูปะวาโท  อะนูปะฆาโต,

การไม่พูดร้าย, การไม่ทำร้าย,

 

ปาติโมกเข  จะ  สังวะโร,

การสำรวมในปาติโมกข์,

 

มัตตัญญุตา  จะ  ภัตตัสมิง,

ความเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค,

 

ปันตัญจะ  สะยะนาสะนัง,

การนอน  การนั่ง  ในที่อันสงัด,

 

อะธิจิตเต  จะ  อาโยโค,

ความหมั่นประกอบในการทำจิตให้ยิ่ง,

 

เอตัง  พุทธานะสาสะนัง,

ธรรม ๖ อย่างนี้ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย,

 

 

ปัจฉิมพุทโธวาทปาฐะ

 

นำ  (หันทะ  มะยัง  ปัจฉิมะพุทโธวาทะปาฐัง  ภะณามะ  เส)

 

หันทะทานิ  ภิกขะเว,

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้  เราขอเตือน,

 

อามันตะยามิโว,

ท่านทั้งหลายว่า

 

วะยะธัมมา  สังขารา,

สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา,

 

อัปปะมาเทนะ  สัมปาเทถะ,

ท่านทั้งหลาย  จงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด,

 

อะยัง  ตะถาคะตัสสะ

นี้เป็นพระวาจาในครั้งสุดท้าย ของพระ-

 

ปัจฉิมาวาจา.

ตาถาคต.

 

 

ปัญจอภิณหปัจจเวขณปาฐะ

 

ชะราธัมโมมหิ, (อ่านว่า ธัม-โมม-หิ)

เรามีความแก่เป็นธรรมดา,

 

ชะรัง  อะนะตีโต (ตา)

ล่วงความแก่ไปไม่ได้,

 

พะยาธิธัมโมมหิ,

เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา,

 

พะยาธิง  อะนะตีโต,  (ตา)

ล่วงความเจ็บไข้ไปไม่ได้,

 

มะระณะธัมโมมหิ,

เรามีความตายเป็นธรรมดา,

 

มะระณัง  อะนะตีโต  (ตา),

ล่วงความตายไปไม่ได้,

 

สัพเพหิ  เม  ปิเยหิ  มะนาเปหิ,

เราละเว้นเป็นต่าง ๆ คือว่า  พลัดพราก

 

นานาภาโว  วินาภาโว,

ของรัก  ของเจริญใจทั้งหลายทั้งปวง,

 

กัมมัสสะโกมหิ,

เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของ ๆ  ตน,

 

กัมมะทายาโท,

เป็นผู้รับผลของกรรม,

 

กัมมะโวยนี,

เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด,

 

กัมมะพันธุ,

เป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์,

 

กัมมะปะฏิสะระโณ,

เป็นผู้มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย,

 

ยัง  กัมมัง  กะริสสามิ,

จักทำกรรมอันใดไว้,

 

กัลยาณัง  วา  ปาปะกังวา,

ดีหรือชั่ว,

 

ตัสสะ  ทายาโท  ภะวิสสานิ,

จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น,

 

เอวัง  อัมเหหิ  อะภิณหัง,

เราทั้งหลายพึงพิจารณาเนือง ๆ

 

ปัจจะเวกขิตัพพัง.

อย่างนี้แล.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

อุทิสสะนาธิฎฐานะคาถา (กรวดน้ำตอนเย็น)

นำ (หันทะ มะยัง อุททิสสะนาธิฎฐานะคาถาโย ภะณามะ เส)

อิมินา ปุญญะกัมเมนะ,
ด้วยบุญนี้ อุทิศให้,

อุปัชฌายา คุณุตตะรา,
อุปัชฌาย์ ผู้เลิศคุณ,

อาจะริยูปะการา จะ,
แลอาจารย์ ผู้เกื้อหนุน,

มาตาปิตา จะ ญาตะกา,
ทั้งพ่อแม่ แลปวงญาติ,

สุริโย จันทิมา ราชา,
สูรย์จันร์ แลราชา,

คุณะวันตา นะราปิ จะ,
ผู้ทรงคุณ หรือสูงชาติ,

พรหมะมารา จะ อินทา จะ
พรหมมาร และอินทราช,

โลกะปาลา จะ เทวะตา,
ทั้งทวยเทพ และโลกบาล,

ยะโม มิตตา มะนุสสา จุะ,
ยมราช มนุษย์ มิตร,

มัชฌัตตา เวริกาปิ จะ,
ผู้เป็นกลาง ผู้จ้องผลาญ,

สัพเพ สัตตา สุขี โหนตุ,
ขอให้เป็นสุขศานติ์ ทุกทั่วหน้า อย่าทุกข์ทน,

ปุญญานิ ปะกะตานิ เม,
บุญผอง ที่ข้าทำจงช่วยอำนวยศุภผล,

สุขัง จะ ติวิธัง เทนตุ,
ให้สุข สามอย่างล้น,

ขิปปัง ปาเปถะ โวมะตัง,
ให้บรรลุถึง นิพพานพลัน,

อิมินา ปุญญะกัมเมนะ,
ด้วยบุญนี้ที่เราทำ,

อิมินา อุททิเสานะ จะ,
แลอุทิศให้ปวงสัตว์,

ขิปปาหัง สุละเภ เจวะ,
เราพลันได้ซึ่งการตัด

ตัณหุปาทานะ เฉทะนัง,
ตัวตัณหา อุปาทาน,

เย สันตาเน หินา ธัมมา,
สิ่งชั่ว ในสันดาน,

ยาวะ นิพพานะโต มะมัง,
กว่าเราจะถึงนิพพาน,

นัสสันตุ สัพพะทา เยวะ,
มลายสิ้นจากสันดาน,

ยัตถะ ชาโต ภะเว ภะเว,
ทุก ๆ ภพ ที่เราเกิด,

อุชุจิตตัง สะติปัญญา,
มีจิตตรง และสติ ทั้งปัญญา อันประเสริฐ,

สัลเลโข วิริยัมหินา,
พร้อมทั้ง ความเพียรเลิศเป็นเครื่องขูดกิเลสหาย,

มารา ละภันตุ โนกาสัง,
โอกาส อย่าพึงมีแก่หมู่มาร สิ้นทั้งหลาย,

กาตุญจะ วิริเยสุ เม,
เป็นช่อง ประทุษร้าย ทำลายล้างความเพียรจม,

พุทธาทิปะ วะโร นาโถ,
พระพุทธเจ้า ผู้บวรนาถ,

ธัมโม นาโถ วะรุตตะโม,
พระธรรมเป็นที่พึ่งอันอุดม,

นาโถ ปัจเจกะพุทโธ จะ,
พระปัจเจกะพุทธสมทบ,

สังโฆ นาโถตตะโร มะมัง,
พระสงฆ์เป็นที่พึ่งผยอง,

เตโสตตะมานุภาเวนะ,
ด้วยอานุภาพนั้น,

มาโรกาสัง ละภันตุ มา,
ขอหมู่มาร อย่าได้ช่อง

ทะสะปุญญานุภาเวนะ,
ด้วยเดชบุญ ทั้งสิบป้อง,

มาโร กาสัง ละภันตุมา,
อย่าเปิดโอกาสแก่มาร เทอญ

กรวดน้ำตอนเช้า

(เทวตาทิปัตติทานคาถา)

 

นำ  (หันทะ  มะยัง  ปัตติทานะคาถา  โย  ภะณามะ  เส.)

 

ยาเทวะตาสันติวิหาระวาสินี

เทพยดาทั้งหลายเหล่าใดมีปกติอยู่ในวหาร

 

ถูเปฆะเร  โพธิ  ฆะเร  ตะหิง  ตะหิง,

สิงสถิตที่เรือนพระสถูปที่เรือนโพธิในที่นั่น ๆ ,

 

ตาธัมมะทาเนนะ  ภะวันตุปูชิตา

เทพยดาทั้งหลายเหล่่านั้น เป็นผู้อันเราทั้ง

 

โตถิง  กะโรน

หลายบูชาแล้วด้วยธรรมทาน  ขอจงทำซึ่ง

 

เตธะวิหาระมัณฑะเล,

ความเจริญในมณฑลวิหารนี้,

 

เถรา  จะ  มัชฌา   นะวะกา

พระภิกษุทั้งหลายที่เป็นเถระก็ดี  ที่เป็นปาน

 

จะภิกขะโข  สารามิกา  ทานะ  ปะตี

กลางก็ดี  ที่ยังใหม่ก็ดี อุบาสกอุบาาสิกา

 

อุปาสะกา,

ทั้งหลาย,

 

คามา  จะ  เทสา  นิคะมา  จะ  อิสสะรา,

ที่เป็นทานาบดีพร้อมด้วยอารามิกชนก็ดี

 

สัปปาณะ  ภูตา  สุชิตา  ภะวันตุ  เต,

ชนทั้งหลายเหล่านั้น จงเป็นผู้มีความสุขทุกเมื่อเถิด,

 

ชะลาพุชา  เยปิ  จะ  อัณฑะสัมภะวา

สัตว์ทั้งหลายที่เกิดจาากครรภ์ก็ดี  ที่เกิดจาก

 

สังเสหะชาตา  อะถะโว  ปะปาติกา,

ฟองไข่ก็ดี ที่เกิดในเถ้าไคลก็ดี  ที่เกิดขึ้นโตทีเดียวก็ดี,

 

นิย (นี) ยานิกัง  ธัมมะวะรัง

สัตว์ทั้งหลายแม้ทั้งปวงเหล่านั้น ได้อาศัย

 

ปะฏิจจะเต  สัพเพป  ทุกขัสสะ

ซึงธรรมอันประเสริฐเป็นนิยานิคธรรมประ-

 

กะโรนตุ  สังขะยัง,

กอบในอันนำผู้ปฏิบัติให้ออกจากทุกข์

จงกระทำซึ่งความสิ้นไปพร้อมแห่งทุกข์เถิด,

 

ฐาตุ  จิรัง  สะตัง  ธัมโม  ธัมมัทธะรา  จะปุคคะลา,

ขอธรรมของสัตบุรุษทั้งหลาย จงตั้งอยู่นาน

อนึ่ง ขอบุคคลทั้งหลายผู้ทรงไว้ซึ่งธรรมดำรงอยู่,

 

สังโฆโหตุ  สะมัคโควะ  อัตถายะ

ขอพระสงฆ์จงมีความสามัคคี  พร้อมเพรียง

 

จะ  หิตายะจะ,

กันในอันทำประโยชน์และสิ่งอันเกื้อกูลเถิด,

 

อัมเหรักขะตุ  สัทธัมโม-

ขอพระสัทธรรม จงรักษาซึ่งเราทั้งหลาย

 

สัพเพปิธัมมะจาริโน,

แล้วจงรักษาไว้ซึ่งบุคคลทั้งหลายทั้งปวง,

 

วุฑฒิง  สัมปาปุเณยยามะ  ธัมเม

ขอเราทั้งหลายพึงถึงพร้อม ซึ่งความเจริญ

 

อะริยัป  ปะเรทิเต,

ในธรรมที่พระอริยเจ้าประกาศ ไว้แล้วเถิด,

 

ปะสันนา  โหนตุ  สัพเพปิ

แม้สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงเป็นผู้เลื่อมใสแล้ว

 

ปาณิโน  พุทธะสาสะเน,

ในพระพุทธศาสนา,

 

สัมมา  ธารัง  ปะเวจฉันโต กาเล  เทโว  ปะวัสสะตุ,

ฝนจงเพิ่มให้อุทกธาร ตกต้องในกาล โดยชอบ,

 

วุฑฒิภาวายะ  สัตตานัง

จงนำไปซึ่งเมทนีดล ให้สำเร็จประโยชน์  เพื่อ

 

สะมิทธัง  เนตุ  เมทะนิง,

อันบังเกิดความเจริญแก่สัตว์ทั้งหลาย,

 

มาตา  ปิตา  จะ  อัตระชัง

มารดาและบิดา ย่อมถนอมบุตรน้อย อัน


นิจจัง  รักขันติ  ปุตตะกัง,

บังเกิดในตนเป็นนิตย์ฉันใด,

 

เอวัง  ธัมเมนะ  ราชาโน

พระราชาทั้งหลาย  จงทรงรักษา ประชา,

 

ปะชัง  รักขันตุ  สัพพะทา.

ราษฎร์โดยชอบ ในกาลทั้งปวงนั้นเทอญ.

 

 

คำบูชาพระรัตนตรัย

โย  โส  ภะคะวา  อะระหัง  สัมมา  สัมพุทโธ,

พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด, เป็นพระอรหันต์, ดับเพลิงกิเลสสิ้นเชิง,  ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

สวากขาโต  เยนะ  ภะคะวะตา  ธัมโม,

พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด,  ตรัสไว้ดีแล้ว

สุปะฏิปันโน  ยัสสะ  ภะคะวะโ  สาวะกะสังโฆ

พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใดปฏิบัติดีแล้ว.

ตัมมะยัง  ภะคะวันตัง  สะธัมมัง  สะสังฆัง

ข้าพเจ้าทั้งหลายขอบูชาอย่างยิ่ง, ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นพร้อมทั้งพระธรม พร้อมทั้งพระสงฆ์;

อิมินา  สักกาเรหิ  ยะถาระหัง  อาโรปิเตหิ  อะภิปูชะยามะ,

ด้วยสักการะเหล่านี้,  ที่ข้าพเจ้าทั้งหลายยกขึ้นไว้ แล้วตามสมควร:

สาธุโน  ภันเต  ภะคะวา  สุจิระปะรินิพพุโตปิ,

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ,  ข้าพเจ้าขอโอกาส,  ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ปรินิพพานนานแล้ว

ปัจฉิมา  ชะนะตา  นุกัมปะมานะสา,

ทรงมีพระหฤทัยอนุเคราะห์,  แก่ประชุมชนที่เกิดมาในภายหลัง;

อิเม  สักกาเร  ทุคคะตะ  ปัณณาการะภูเต  ปะฏิคคัณหาตุ

ขอได้ทรงรับเครื่องสักการะเหล่านี้,  อันเป็นเครื่องบรรณาการของคนยาก;

อัมหากัง  ฑีฆะรัตตัง  หิตายะ  สุขายะ

เพื่อเป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย,  ตลอดกาลนานเทอญ.

พุทธัง  อะภิปูชะยามิ,

 ข้าพเจ้าขอน้อมบูชาพระพุทธเจ้า ด้วยเครื่องสักการะนี้

อิมินา   สักกาเรนะ,  ธัมมัง   อะภิปูชะยามิ,

ข้าพเจ้าขอน้อมบูชาพระธรรมเจ้า  ด้วยเครื่องสักการะนี้

อิมินา   สักกาเรนะ,   สังฆัง  อะภิปูชะยามิ,

ข้าพเจ้าขอน้อมบูชาพระสงฆ์  ด้วยเครื่องสักการะนี้

บทขอขมาพระรัตนตรัย

วันทามิ  พุทธัง, สัพพะ  เมโทสัง,  ขะมะถะเมภันเต.

วันทามิ  ธัมมัง,  สัพพะ  เมโทสัง,  ขะมะถะเมภันเต.

วันทามิ  สังฆัง,  สัพพะ  เมโทสัง,  ขะมะถะเมภันเต.

บทคำกราบพระรัตนตรัย

อะระหัง  สัมมาสัมพุทโธ  ภะคะวา

พระผู้มีพระภาคเจ้า, เป็นพระอรหันต์, ดับเพลิงกิเลสทุกข์สิ้นเชิง, ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

พุทธัง  ภะคะวันตัง  อะภิวาเทมิ  

ข้าพเจ้า อภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า,  ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

 (กราบ แล้วว่า พุทโธ เมนาโถ พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของเรา)

สะวากขาโต  ภะคะวาตา  ธัมโม   ธัมมัง  นะมัสสามิ  

พระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า  ตรัสไว้ดีแล้ว  ข้าพเจ้านมัสการพระธรรม

 (กราบ แล้วว่า ธัมโม เมนาโถ พระธรรมเจ้าเป็นที่พึงของเรา)

สุปะฏิปันโน  ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ 

พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า  ปฏิบัติดีแล้ว


สังฆัง  นะมามิ.

ข้าพเจ้านอบน้อมแด่พระสงฆ์

(กราบ  แล้วว่า  สังโฆ  เมนาโถ  พระอริยะสงฆ์เจ้าเป็นที่พึ่งของเรา)


มาตาปิตุคุณัง  อะหัง  วันทามิ

ข้าเจ้ากราบวันทา บิดา มารดา ผู้มีพระคุณโดยความเคารพ

(กราบ แล้วว่า  กราบวันทา บิดามารดาผู้มีพระคุณทั้งอดีต ปัจจุบัน โดยความเคารพ)


คะรุอุปัชฌาย์  อาจาริยะ 

ข้าพเจ้าขอกราบวันทา  ครู อุปัชฌาย์  อาจารย์

คุณังอะหัง  วันทามิ

ผู้มีพระคุณโดยความเคารพ

(กราบ แล้วว่า  กราบวันทา ครู อุปัชฌาย์อาจารย์ ท่านผู้มีพระคุณ ท่านผู้มีบุญคุณ ทั้งอดีต ปัจจุบัน และจะพึงมีในอนาคต โดยความเคารพ)